รากฟันเทียม คืออะไร มีกี่แบบ ข้อควรรู้ก่อนการฝังรากเทียม
รากฟันเทียม คือ วัสดุที่ทำขึ้นมาเพื่อทดทแทนรากฟันจริงที่หายไป โดยจะทำจากไทเทนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่ทนทาน เข้าได้ดีกับร่างกายมนุษย์โดยไม่มีผลข้างเคียง ในการรักษา รากเทียมจะถูกฝังลงในไปในกระดูกเพื่อเพื่อทดแทนฟันที่หายไปตั้งแต่ 1 ซี่ จนไปถึงฟันหายทั้งปากหรือ เอามาช่วยในการยึดติดกับฟันปลอม หรือทำฟันปลอมแบบติดแน่น
ในปัจจุบันการรักษานี้ถือเป็นการทำฟันปลอมที่ดีที่สุด เพราะมีความคล้ายฟันธรรมชาติ ติดแน่น ไม่ต้องถอดออก เข้าได้ดีกับเนื้อเยื้อและเมื่อเมื่อเวลาผ่านไปรากฟันเทียมจะยึดติดกับส่วนเดียวกับกระดูก
เหมาะกับใคร
กาารักษาด้วยการฝังรากฟันเทียมนั้น เหมาะกับ:
- บุคคลที่ฟันสูญหายจากอุบัติเหตุ หรือการได้รับอาการบาดเจ็บจากแรงกระแทก
- บุคคลที่สูญเสียฟันทั้งปาก หรือ ด้านใดด้านหนึ่ง
- บุคคลที่กระดูกกรามละลายหรือได้รับความเสียหายอันเกิดมาจากโรคทางทันตกรรมต่างๆ เช่น โรคเหงือก โดยการฝังรากเทียมจะช่วยรักษามวลกระดูกที่เหลืออยู่และช่วยเร่งการฟื้นฟูกระดูกในร่างกาย
- บุคคลที่สูญเสีบฟัน และปฏิเสธการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้
ใครไม่เหมาะกับรากเทียม
การฝังรากฟันเทียมไม่ใช่การรักษาที่เหมาะสมกับทุกคน แม้จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทดแทนฟันที่สูญเสีย แต่บุคคลบางกลุ่มอาจมีข้อจำกัดในการรับการรักษานี้ ดังนี้:
- ผู้ที่มีปัญหากระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ – หากกระดูกขากรรไกรไม่แข็งแรงพอหรือมีปริมาณน้อยเกินไป รากเทียมอาจไม่สามารถยึดติดได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นคนไข้ต้องทำการเสริมกระดูกให้พอก่อนการรักษา
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี – ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการฟื้นตัวที่ช้ากว่าปกติ
- ผู้ที่สูบบุหรี่หนัก – การสูบบุหรี่สามารถขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูของร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อความล้มเหลวในการรักษา
- ผู้ที่มีโรคกระดูกพรุน – โรคนี้ส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรงเพียงพอสำหรับการรองรับรากฟันเทียม
- ผู้ที่อายุน้อยเกินไป – คนที่อายุน้อยที่กระดูกยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ อาจไม่เหมาะสมสำหรับการรักษา
หลักการทำงานคร่าวๆ
รากฟันเทียมจะเป็นตัวแทนรากฟันธรรมชาติที่เสียไป ซึ่งหลังจากฝังรากฟันเทียม กระดูกจะเจริญเติบโตและยึดรอบๆ รากเทียม ทำให้รากฟันเทียมแข็งแรง สามารถรองรับฟันปลอมที่ติดอยู่ด้านบนได้ดี เปรียบเสมือนฐานที่มั่นคงให้กับตัวเนื้อฟัน นอกจากนี้ การฝังรากฟันเทียมยังช่วยป้องกันการเสื่อมของกระดูกขากรรไกรและช่วยให้การบดเคี้ยวเป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย
ส่วนประกอบ
ส่วนประกอบของตัวรากเทียม ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่:
- Implant body (Fixture): คือ ส่วนที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร เป็นตัวแทนรากฟันจริงและช่วยยึดส่วนอื่นๆ เพื่อความมั่นคง มีลักษณะคล้ายสกรู
- Abutment: คือ เป็นตัวกลางช่วยเชื่อมระหว่างตัว Implant body และ ตัวครอบฟันด้านบน
- Crown: คือ ส่วนฟันเซรามิกที่ยึดกับตัว Abutment ทำหน้าแทนเนื้อฟันธรรมชาติที่ไว้ใช้บดเคี้ยวอาหาร
แบบรากฟันเทียม
รากฟันเทียม สามารถแบ่งได้ง่ายๆ เป็น 5 แบบ ได้แก่:
- แบบ 1 ซี่ (single tooth): เหมาะสำหรับการทดแทนฟัน 1 ซี่ โดยที่ไม่กระทบฟันซี่ข้างๆ เช่น การทำสะพานฟัน ที่ต้องมีการใช้ฟันด้านข้างเป็นตัวยึด
- แบบหลายซี่ (multiple dental implants): เหมาะสำหรับการทดแทนฟันหลายซี่ในพื้นที่เดียวกัน โดยที่ยังพอเหลือฟันด้านข้างเพื่อไว้เป็นตัวยึด
- แบบฟันหายเป็นจำนวนมาก (implants support bridge): เป็นรากฟันเทียมเพื่อใช้ทดแทนฟันที่สูญหายเป็นจำนวนมากและไม่เหลือฟันด้านข้างไว้เป็นตัวยึด โดยการรักษานี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงมากกว่าเมื่อเทียบกับแค่การรักษาด้วยสะพานฟัน
- แบบทดแทนฟันที่หายไปทั้งปาก (implants over denture): เหมาะสำหรับการทดแทนฟันที่หายไปทั้งปากหรือเกือบทั้งหมด
- แบบ All on 4: เป็นการฝังรากเทียมด้วยเทคนิคพิเศษ โดยจะฝังรากฟันเทียมจำนวน 4 ซี่ เพื่อช่วยประคองฟันบนหรือฟันล่างทั้งชุด เหมาะผู้ที่ต้องการทดแทนฟันที่หายไปทั้งปากหรือเกือบทั้งหมดแต่ไม่มีมวกระดูกที่มากพอทำแบบ (implants over denture)
ประเภทในการรักษา
นอกจากแบบต่างๆ ที่กล่าวไปแล้ว การฝังรากฟันเทียมนั้น สามารถทำได้ทั้งหมด 4 ประเภท ขึ้นอยู่กับความเมหาะสมในแต่ละเคสคนไข้ ดังนี้:
- Conventional Implant: เป็นการรักษาที่นิยมมากที่สุด ซึ่งต้องการกระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงเพียงพอ และต้องรอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกก่อนถึงจะใส่ครอบฟันได้ ใช้เวลาหลายเดือนในการรักษา
- Immediate Implant: เป็นการฝังรากเทียทันทีหลังจากการถอนฟันออก ข้อดีคือใช้เวลาน้อยลง แต่มีความเสี่ยงมากกว่าในการที่รากฟันจะไม่ยึดติด
- Mini Implant: เป็นรากฟันเทียมที่มีขนาดเล็กกว่าทั้วไป มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีพื้นที่กระดูกน้อย สามารถติดตั้งได้รวดเร็ว แต่เหมาะกับฟันที่มีแรงกดน้อย เช่น ฟันหน้า
- Zygomatic Implant: รากเทียมชนิดนี้ถูกฝังในกระดูกโหนกแก้ม เหมาะสำหรับผู้ที่กระดูกขากรรไกรล่างไม่แข็งแรงพอ
ข้อดีของการรักษา
รากฟันเทียม มีข้อดีต่างๆ ดังนี้:
- มีประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติที่สุด
- ไม่ส่งผลกระทบกับฟันซี่ข้างเคียง เพราะการรักษานี้ ไม่จำเป็นต้องกรอฟันซี่ข้างเคียงแบบสะพานฟัน
- ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพและความมั่นใจเวลายิ้ม
- ช่วยรักษาโครงสร้างของกระดูกขากรรไกร การที่ฟันหายไปจะทำให้กระดูกขากรรไกรยุบตัวลงได้ การทำรากเทียมจะช่วยรักษาโครงสร้างของกระดูกขากรรไกรให้คงอยู่
- ช่วยลดปัญหาฟันปลอมหลวม ใช้ช่วยยึดในงานปันปลอม ทำให้มีคุณภาพชีวิต และคุณภาพการเคี้ยวที่ดีขึ้นมาก
การเตรียมตัวก่อนการรักษา
การเตรียมตัวที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การฝังรากฟันเทียมเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ดังนั้น ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. ตรวจสุขภาพทั่วไปและสุขภาพช่องปาก
- รับการตรวจสุขภาพร่างกายเพื่อยืนยันว่าคุณมีสุขภาพแข็งแรงพอสำหรับการผ่าตัด
- ตรวจสภาพฟันและเหงือกเพื่อประเมินว่ามีปัญหาที่ต้องรักษาก่อนหรือไม่
2. แจ้งประวัติการแพทย์และยา
- บอกทันตแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคทางโลหิตวิทยา
- แจ้งยาที่คุณกำลังรับประทาน โดยเฉพาะยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin)
3. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- หากมีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการรักษา ควรได้รับความเห็นชอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน
- ในบางกรณีอาจต้องปรับยาหรือหยุดยาชั่วคราวตามคำแนะนำของแพทย์
4. เตรียมสุขภาพร่างกาย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด เนื่องจากสารเหล่านี้อาจส่งผลต่อการหายของแผล
5. การเตรียมจิตใจ
- หากรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด ควรพูดคุยกับทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
- ในกรณีที่วิตกกังวลสูง อาจพิจารณาการใช้ยาคลายความกังวลหรือการให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย
6. การตรวจวัดค่าทางกายภาพในวันผ่าตัด
- ทันตแพทย์จะวัดความดันโลหิต ค่าความดันควรอยู่ในช่วงที่ปลอดภัย (ไม่ต่ำกว่า 90/60 และไม่สูงกว่า 140/90 มม. ปรอท)
- หากความดันโลหิตไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสม อาจต้องเลื่อนการผ่าตัด
7. ให้ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องและครบถ้วน
- แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือประสบการณ์ที่ไม่ดีในการผ่าตัดครั้งก่อน
- ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทีมแพทย์เตรียมการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ขั้นตอนการรักษา
การรักษาด้วยรากฟันเทียมมี 5 ขั้นตอน ดังนี้:
- วางแผนการรักษา – ทันตแพทย์จะประเมินสุขภาพช่องปากและความหนาของกระดูกโดยใช้เอกซเรย์ CBCT 3D ร่วมกับใช้ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากการประเมิณสุขภาพของคนไข้ เมื่อประเมินเสร็จแล้ว ทันตแพทย์จะเลือกขนาดของรากเทียมที่จะใช้และแจ้งว่าจำเป็นต้องปลูกกระดูกหรือไม่
- ผ่าตัดฝังรากเทียม – การผ่าตัดฝังรากเทียมจะใช้เทคโนโลยีดิจิตอล (Digital Guide) เพื่อช่วยในการผ่าตัด ทำให้การผ่าตัดมีแผลเล็ก แม่นยำ ปวด บวม น้อย หลังผ่าตัดจะรอให้ตัวรากเทียมยึดติดกับกระดูกประมาณ 4-6 เดือน
- รอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูก – หลังจากผ่าตัดฝังรากเทียมแล้ว จะต้องรอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกประมาณ 4-6 เดือน ในระหว่างนี้ ควรดูแลทำความสะอาดช่องปากให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารแข็งๆ
- ใส่ครอบฟันหรือสะพานฟัน – เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกแล้ว ทันตแพทย์จะนัดมาพิมพ์ปากหรือสแกนฟันเพื่อทำครอบฟันหรือสะพานฟันบนรากเทียม
- ติดตามผลการรักษา – หลังใส่ครอบฟันหรือสะพานฟันแล้ว ควรมาติดตามผลการรักษาทุกๆ 6 เดือน เพื่อตรวจดูความแข็งแรงของรากเทียมและครอบฟันหรือสะพานฟัน
การดูแลตัวเองหลังฝังรากฟันเทียม
การดูแลตนเองหลังการฝังรากฟันเทียมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ดังนั้น ควรปฏิบัติดังนี้:
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์
- รับประทานยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการปรับขนาดยาหรือหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- ควบคุมการมีเลือดออก
- หากมีเลือดออกจากแผลผ่าตัด ให้ใช้ผ้าก๊อซสะอาดกดบริเวณนั้นไว้ประมาณ 30 นาที
- หลีกเลี่ยงการบ้วนปากหรือใช้หลอดดูดใน 24 ชั่วโมงแรก เนื่องจากอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น
- ลดอาการบวมและปวด
- ประคบเย็นบริเวณแก้มด้านนอกที่ใกล้กับแผลผ่าตัดใน 24 ชั่วโมงแรก โดยประคบครั้งละ 15 นาที พัก 15 นาที
- หลังจาก 24 ชั่วโมง สามารถประคบอุ่นเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
- รักษาความสะอาดช่องปาก
- แปรงฟันอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงบริเวณแผลผ่าตัดในช่วงแรก
- ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์ หรือบ้วนน้ำเกลืออุ่น ๆ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค
- การรับประทานอาหาร
- รับประทานอาหารอ่อนและเย็น เช่น โจ๊ก ซุป หลีกเลี่ยงอาหารร้อน แข็ง หรือเผ็ดจัด
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
- งดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
- การออกแรงมากอาจทำให้แผลผ่าตัดกระทบกระเทือนและเลือดออก
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- สารนิโคตินและแอลกอฮอล์สามารถชะลอการหายของแผลและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ควรงดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
- สังเกตอาการผิดปกติ
- หากมีอาการปวดที่ไม่ทุเลา บวมแดง หรือมีหนอง ควรรีบติดต่อทันตแพทย์
- ไข้สูงหรืออาการอื่น ๆ ที่ไม่ปกติอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- การนัดติดตามผล
- เข้าพบทันตแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินการฟื้นตัวและตรวจสอบความเรียบร้อยของรากฟันเทียม
- การติดตามผลอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้การรักษาประสบความสำเร็จ
- รักษาสุขภาพช่องปากระยะยาว
- หลังจากแผลหาย ควรดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอด้วยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน
- เข้ารับการตรวจฟันทุก 6 เดือนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ราคาและยี่ห้อ
รากฟันเทียมจะมีราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท ต่อซี่ โดยที่ทางเราให้บริการอยู่ จะมีอยู่ทั้งหมด 6 ยี่ห้อ ดังนี้:
- Biotem (จากเกาหลี)
- Osstem (จากเกาหลี)
- Neodent (จากบราซิล)
- Ankylos (จากเยอรมนี)
- Camlog (จากเยอรมนี)
- Straumann (จากสวิตซ์เซอร์แลนด์)
ด้านล่างนี้คือรายละเอียดในส่วนของค่าใช้จ่ายของทางคลินิกเรา:
บริการ | ราคา |
---|---|
CT Xray | 2,500-3,000 บาท |
Korea implant | 30,000 บาท รวมครอบฟัน based metal with porcelain |
Korea Implant | 35,000 บาท รวมครอบฟัน Zirconia |
Neodent Implant by Straumann | 47,000 บาทรวมครอบฟัน |
Ankylos Implant Germany | 55,000 บาทรวมครอบฟัน |
Camlog Implant Germany | 65,000 บาทรวมครอบฟัน |
ITI Straumann Implant | 75,000 บาทรวมครอบฟัน |
ข้อแตกต่างกับฟันปลอมถอดได้
รากฟันเทียมถือเป็นการทำฟันปลอมที่เรียกว่าฟันปลอมติดแน่น เพราะจะถูกฝังเข้ากับกระดูกขากรรไกร และเมื่อเทียบกับฟันปลอมถอดได้แล้ว จะมีข้อแตกต่างหลักๆ ดังนี้:
- ประสิทธิภาพในการใช้งาน: รากฟันเทียมนั้นมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีกว่าการทำฟันปลอมแบบถอดได้ รวมไปถึงความสะดวกสบายในการใช้งานด้วย เพราะตัวฟันจะยึดติดแน่นในกระดูก ทำให้สามารถใช้บดเคี้ยวได้เป็นธรรมชาติ
- อายุการใช้งานและการดูแลรักษา: รากเทียมนั้นมีความแข็งแรง ทนทานสูง สามารถใช้งานได้ยาวนาน 10-20 ปี หรืออาจจะตลอดชีวิตหากดูแลรักษาดี นอกจากนี้ วิธีการรักษาทำความสะอาดนั้นก็ง่าย ไม่ซับซ้อน เหมือนกันการดูแลฟันปกติทั่วไปได้เลย ในขณะที่ฟันปลอมนั้น มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยประมาณ 5-10 ปี ก่อนที่จะต้องทำการเปลี่ยน และยังมีการดูแลรักาษาที่มากกว่าหลายขั้นตอน เช่น การถอดแช่น้ำไว้ก่อนนอน เป็นต้น
- ระยะเวลาในการรักษาและฟื้นตัว: การฝังรากเทียมนั้น มีขั้นตอนการรักษาที่ซับซ้อนและเยอะกว่าอย่างมาก และหลังรักษาเสร็จ ก็อาจใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้กระดูกโดยรอบฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ในขณะที่ฟันปลอมนั้น มีเพียงแค่ขั้นตอนการพิมพ์ฟัน และอื่นๆ อีกเล็กน้อย จึงทำให้สามารถรักษาเสร็จได้เร็ว ไม่ซับซ้อน และคนไข้สามารถฟื้นตัวได้ภายในไม่กี่วัน
- ราคา: รากฟันเทียมนั้นมีค่าใช้ในการรักษาที่สูงกว่าฟันปลอมมาก แต่ในรยะยาวแล้ว รากเทียมอาจเป็นการรักษาที่คุ้มกว่า เพราะแทบไม่ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในขณะที่ฟันปลอมอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยน ซ่อมแซม และ อื่นๆ เพิ่มเติม
ข้อแตกต่างกับสะพานฟัน
รากฟันเทียมและสะพานฟันเป็นวิธีการทดแทนฟันที่สูญเสียไปแบบติดแน่นเหมือนกัน แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างหลักๆ ดังนี้:
- ความแข็งแรง: รากฟันเทียมจะยึดติดเข้ากับกระดูกขากรรไกร ทำให้มีความแข็งแรงมากกว่าสะพานฟันที่ต้องใช้ฟันซี่ข้างๆ เป็นตัวยึด
- ความสวยงาม: รากเทียมจะดูมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าสะพานฟัน ที่อาจจะสามารถสังเกตได้ตรงเหงือกเมื่อเวลาผ่านไป
- อายุการใช้งาน: รากเทียมนั้นมีความแข็งแรง ทนทานสูง สามารถใช้งานได้ยาวนาน โดยอาจจะตลอดชีวิตหากดูแลรักษาดี ในขณะที่สะพานฟันจะมีอายุการใช้งานประมาณ 10-15 ปี
- ความสบายในการสวมใส่: รากฟันเทียมจัยึดติดเข้ากับกระดูกเหมือนกับฟันธรรมชาติ ทำให้ไม่มีการขยับเขยื่อนตำแหน่งหรือต้องคอยมานั่งปรับสิ่งต่างๆ ในขณะที่สะพานฟันอาจรู้สึกไม่ค่อยสบายในการสวมใส่ รวมไปถึงอาจมีเศษอาหารเข้าไปติดได้ง่าย
- ราคา: รากเทียมมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสะพานฟัน
- ระยะเวลาในการฟื้นตัว: รากเทียมมีระยะในการฟื้นตัวหลังรักษาเสร็จที่นานกว่าสะพานฟัน
คำถามที่พบบ่อย
1. รากฟันเทียมเจ็บไหม?
ในระหว่างการฝังรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่ ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะทำการรักษา อย่างไรก็ตาม อาจมีความรู้สึกไม่สบายหลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด
2. รากฟันเทียมมีอายุการใช้งานนานแค่ไหน?
รากฟันเทียมที่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องสามารถใช้งานได้ยาวนาน 10-20 ปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาช่องปาก
3. รากเทียม เข้า MRI ได้ไหม?
รากฟันเทียมที่ทำจากไทเทเนียมสามารถเข้าเครื่อง MRI ได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากไทเทเนียมเป็นวัสดุที่ไม่เป็นแม่เหล็ก จึงไม่มีปฏิกิริยากับสนามแม่เหล็กของเครื่อง MRI อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีส่วนประกอบโลหะอื่นๆ ในร่างกาย ควรแจ้งแพทย์ก่อนการตรวจ MRI เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมในกรณีเฉพาะ
4. ต้องมีอายุเท่าไหร่จึงจะทำการรักษานี้ได้?
รากฟันเทียมเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อให้กระดูกขากรรไกรเจริญเติบโตเต็มที่
5. ผู้สูบบุหรี่สามารถฝังรากฟันเทียมได้หรือไม่?
ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงสูงต่อการล้มเหลวของรากฟันเทียม แต่สามารถทำได้หากปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด
ตัวอย่างเคสคนไข้
แพทย์ของเรา
ทางรวมทันตแพทย์คลินิกมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรากฟันเทียมที่มีประสบการณ์การรักษามามากกว่า 20 ปี โดยการรักษาทั้งหมด ทำโดยแพทย์เฉพาะทางที่จบจากมหาลัยดังๆ เช่น จุฬา มหิดล
ติดต่อ รวมทันตแพทย์คลินิก
- เวลาทำการ: วันจันทร์-อาทิตย์: 09:00 – 19:00
- ที่ตั้งคลินิก: 810 ระหว่างซอยประชาอุทิศ 17-19 เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร 10140 (จากปากซอยประชาอุทิศ ให้สังเกตสะพานลอยที่ 2 เลยขึ้นมา 100 เมตร จะสังเกตเห็นรวมทันตแพทย์คลินิก)
- จอดรถ: ตลาดนัดราษฎร์บูรณะ
- โทร: 095-713-0027, 02-428-5814
- LINE ID: @ruamdental